นายธีระยุทธ ดีเหลือ เลขที่ 36
กลุ่มเรียน เช้าพฤหัสบดี
ชื่อหนังสือ เศรษฐีชี้ทางรวย



วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558


ทองขาว กับ ทองคำขาว

หลายคนสับสนมาตลอดว่าทองขาว กับทองคำขาวนั้นเหมือนกัน ร้านเพชรบางแห่งบอกว่าทองขาวไม่ต้องชุบอีกเพราะขาวอยู่แล้วนั้นไม่จริง เพราะหากไม่ใช่ทองคำขาวหรือพลาทินัมจริงๆ แล้ว จะอย่างไรก็ต้องชุบทุกๆ ปีเพราะเนื้อทองขาวนั้นข้างในเป็นทองสีเหลืองๆ แต่ชุบขาวโรเดียมหลอกตาไว้เท่านั่นเอง
สรุปว่าทองขาว ใช่ ทองคำขาว หรือไม่
คำตอบ คือ ไม่ 

ทองคำขาว 
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แพลทินัม (Platinum) ส่วนทองขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ไวท์โกลด์ (White gold)
                ผู้ซื้อส่วนมากมักจะโดนร้านค้าสอนให้เรียกแบบผิดๆ ซึ่งทำให้สินค้าของตัวเองดูมีราคามากขึ้น แต่จริงๆแล้วทองคำขาว(Platinum) มีราคาสูงกว่าทองคำบริสุทธิ์ (Gold) ประมาณ 2 เท่า ซึ่งทองขาว(White Gold) จะถูกกว่าทองคำบริสุทธ์ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ไม่ครบ 100% นั่นเอง
1. ทองขาว White gold    
                ทองขาว (White Gold) คือโลหะผสม ของทองคำ และโลหะสีขาว เช่น เงิน และ แพลเลเดียม ซึ่งเราอาจจะเห็นทองขาวมีตัวเลข 90% , 75% หรือ % อื่นๆ ก็ตาม ดูจากตัวอย่าง เช่น
                ทองคำ (Yellow gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + ทองแดงและสังกะสี อีก 10%
                ทองขาว (White gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + เงินและแพลเลเดียม อีก 10%
จึงเห็นได้ว่ามีทองคำเป็นโลหะหลักเหมือนกัน แต่มีส่วนผสมอื่นต่างกัน ผสมแล้วก็ยังเหลืองเหมือนทอง แต่เหลืองน้อยกว่านิดหน่อย
                เมื่อก่อนจะใช้ นิกเกิล (Nickel) มาเป็นส่วนผสมในการทำทองขาว แต่ต่อมาก็ไม่ได้นำมาใช้ เพราะว่าเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับผิวหนังของคนบางคน โดยมีการระคายเคืองเล็กน้อยและอาจจะเป็นผื่นคัน บางคนอาการหนักจนใส่ไม่ได้เลย
                ดังนั้นแหวนทองขาวระยะหลัง จะมีการเคลือบผิวด้วยโลหะสีขาวที่เรียกว่า โรเดียม (Rhodium) ซึ่งดูคล้ายกับทองคำขาวมาก แต่ดูสวยงามระยะแรกเท่านั้น อีกไม่กี่เดือนก็จะหมองเนื่องจากตัวโลหะที่เคลือบได้หลุดออกไปทีละเล็กละน้อย เราจึงมองเห็นเนื้อทองสีเหลืองที่อยู่ด้านใน

-ทองคำกับทองขาว อย่างไหนแพงกว่ากัน? 
                ขึ้นอยู่กับส่วนผสม หรือเปอร์เซ็นต์ (%) ของทองคำที่นำไปใช้ แต่ถ้ามีส่วนผสมหรือเปอร์เซ็นต์ (%) ที่เท่ากันแล้ว ทองขาว 75% จะแพงกว่าทองคำ 75% เพราะว่าเงินและแพลเลเดียม ที่ใช้เป็นส่วนผสมของทองขาว มีราคาสูงกว่า ทองแดงและสังกะสีที่ใช้เป็นส่วนผสมของทองคำ
2. ทองคำขาว (Platinum) 
                ทองคำขาวคือโลหะสีขาวบริสุทธิ์ (อยู่ที่ประมาณ 95%) มาจากรากศัพท์ว่า แพลทินา ซึ่งแปลว่าเงินเล็กๆ ทองคำขาวมักพบเป็นเม็ดเล็กๆ หรือก้อนขนาดเล็กที่อยู่ในตะกอบทับถมของแร่ แหล่งทับถมแหล่งใหญ่คือ รัสเซีย แคนาดา และแอฟริกาใต้ ด้วยความแข็งที่ไม่มาก จึงไม่ค่อยเป็นผลึกที่เป็นเหลี่ยมคมมาก มักถูกใช้เป็นตัวโลหะสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นเครื่องมือผ่าตัด เพราะไม่เป็นสนิม และที่นิยมมาทำเครื่องประดับ เพราะจะมีความขาวที่ยาวนานมาก (ไม่ลอกไม่ดำ) ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปชุบด้วย โรเดียมเหมือนทองขาว สังเกตว่าทองคำขาวจะมีความหนักกว่าทองคำเมื่อเทียบในปริมาณเท่ากัน เมื่อสวมใส่จะสามารถรู้สึกได้ทันที
เป็นที่ทราบกันว่าทองคำขาวจะแพงกว่าทองคำ ราวๆ 2 เท่า แต่เวลาขายนะซิ ราคาจะลดลงอย่างน่าใจหาย อาจต่ำกว่าทองคำด้วยซ้ำไป (ไม่คุ้มสตางค์ที่จ่ายไป) โปรดอย่าหลงเชื่อร้านเพชร ร้านทองที่แนะนำให้ทำเครื่องประดับด้วยทองขาว ซึ่งท่านคงทราบแล้วว่ามันไม่ได้ขาว แค่เหลืองน้อยลง และต้องชุบใหม่ทุกๆ ปี ไปตลอดกาล

แนะนำว่าหากต้องการแหวนแต่งงาน เครื่องประดับใดๆ อย่าทำเป็นทองขาว ทางเลือกที่ดีที่สุดคือให้ทำเป็นทองคำ 90% แล้วบอกร้านให้ชุบขาวแทน เนื่องจากการชุบขาวในขณะนี้ ไม่หลุดหลอกเหมือนสมัยก่อน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งเวลาขายต่อได้ราคาเหมือนทองเต็ม และสามารถนำไปหลอมทำแบบใหม่ๆ ที่ต้องการเปลี่ยนได้ทันที

การทำทองต่างๆ

“ช่างทำทอง” ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ด าเนินกิจการโดยนายทำนอง รุ่งสีทอง เปิดร้านขายและรับสั่งทำทองรูปพรรณรูปแบบต่าง ๆ และมีลูกมือช่างอีก ๓–๔ คนเป็นผู้ช่วยทำ ความสำคัญของงานช่างทำทองจัดอยู่ในประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ (การทำตัวเรือน เครื่องประดับ) ต้องใช้ฝีมือในการออกแบบการตกแต่งอย่างมาก ส่วนว่าจะมีความเป็นศิลปะหรืองานช่างอย่างใดอย่างหนึ่งมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับเจตนาความตั้งใจของผู้ประดิษฐ์สร้างสรรค์เครื่องประดับชิ้นนั้นออกมา ถ้าผู้สร้างหวังผลทางเศรษฐกิจก็มีความจ าเป็นต้องศึกษาความต้องการของตลาดและสร้างงานให้สอดคล้องกันไป ยึดหลักความชอบและไม่ชอบของกลุ่มคนลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญ อีกทั้งการผลิตชิ้นงานก็จะทำให้มีจ านวนปริมาณมาก ๆ ให้พอเพียงกับความต้องการของตลาดและลูกค้าอีกด้วย
กรณีช่างทำทองที่อำเภอพานทอง ลักษณะเครื่องประดับมีรูปแบบที่เป็นศิลปะค่อนข้างมาก มีการเน้นรูปทรงแปลกใหม่และความงามตามความคิดของช่าง จึงมีผลให้ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมามีศิลปลักษณะที่แปลกใหม่ไม่ซ้ ากับผลงานของผู้อื่น (มีความเป็นต้นแบบอยู่มาก) เช่นเดียวกับผลงานศิลปะที่ผู้สร้างสรรค์ได้สะท้อนถึงแนวความคิด อุดมคติและความงามของแบบเป็นหลัก ซึ่งหลักคิดดังกล่าวช่างทำทองที่พานทองได้ยึดถือและสืบทอดกันมานานกว่า ๕๐ ปี ตั้งแต่รุ่นบิดา-มารดาจนถึงรุ่นปัจจุบัน (นายทำนอง รุ่งสีทอง) ทำให้การทำทองของทางร้าน “ร้านรุ่งสีทอง” ได้รับความนิยมของลูกค้าทั้งในและนอกจังหวัด อีกทั้งยังได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายจากหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนที่เห็นคุณค่าของงานช่างประเภทนี้


การจัดเก็บข้อมูลของงานช่างทำทองในครั้งนี้ช่วยให้ฐานข้อมูลและองค์ความรู้บางส่วนได้มีการรวบรวมอย่างเป็นระบบไม่ให้เกิดการสูญหาย และจะเอื้ออำนวยต่อผู้สนใจสามารถมาศึกษาค้นคว้าเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์ด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดฝึกอบรมให้กับผู้สนใจเพื่อถ่ายทอดเทคนิควิธีการ เคล็ดลับการทำทองรูปพรรณที่เป็นกลวิธีเด่น ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงเสร็จสิ้นกระบวนการ พร้อม ๆ ไปกับมีฐานความรู้และคู่มือประกอบอย่างชัดเจนก็จะช่วยให้ประโยชน์บังเกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์


ทองคำ (Gold) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม ๗๙ และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานชิชั่นสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่และใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ กับทั้งใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับงานทันตกรรมและอุปกรณ์อีเล็กทอรนิกส์ คุณสมบัติของทองคำมีความแวววาวอยู่เสมอเมื่อสัมผัสถูกอากาศสีทองจะไม่หมองและไม่เป็นสนิม นอกจากนั้นทองคำยังมีความอ่อนตัวเป็นพิเศษด้วยทองคำเพียง ๒ บาท จะสามารถนำมายืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง ๘ กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง ๑๐๐ ตารางฟุต
มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ ๕,๐๐๐ ปี เป็นโลหะที่มีค่าความเหนียว (ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือยืดขยาย (extend) เพื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทางไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด โดยเฉพาะทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฎิกิริยากับคลอรีน ฟลูออรีนและน้ำประสานทอง ดังนั้นด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ข้างต้น จึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานาน ด้วยการนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ และทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับ อีกทั้งทองคำเป็นโลหะชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน ๔ ประการ ได้แก่ ความงดงามมันวาว (lustre) ความคงทน (durable) ความหายาก (rarity) และการนำกลับไปใช้ประโยชน์ (reuseable) จึงทำให้ทองคำโดดเด่นและเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะที่มีค่าทุกชนิดในโลก
“ช่างทำทอง” ร้านรุ่งสีทอง ที่ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ได้ทำกิจการนี้มาแต่ครั้งบิดา-มารดา เป็นรุ่นแรก ต่อมานายทำนอง รุ่งสีทอง ได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้มาอีกรุ่นหนึ่งตั้งแต่เมื่อเขาเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ (ตอนนั้นอายุได้ ๑๓ ปี) ด้วยการฝึกหัดการทำทองรูปพรรณ ซึ่งในระยะแรกจะทำกันเฉพาะคนในครอบครัว ต่อมาด้วยฝีมืออันประณีตงดงามบวกกับการทำทองมานานกว่า ๕๐ ปี ได้มีผลให้การทำทองของร้านรุ่งสีทองได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องไม่เพียงภายในจังหวัดชลบุรีเท่านั้น จังหวัดอื่น ๆ ก็ให้ความสนใจแวะเวียนเข้ามาสั่งทำและซื้อหาชิ้นงานจากทางร้านอยู่มิได้ขาด ซึ่งจากฝีมือและความสามารถในการทำทองจึงมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้มอบรางวัลต่าง ๆ ให้ทางร้านมากมาย
ในส่วนขั้นตอนและกระบวนการผลิตนั้น มี ๑. เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตทองรูปพรรณ ได้แก่ เบ้าหลอมทอง รางเททอง ปากคีบ แป้นดึงลวด คีบดึงลวด หีบลม ขวดน้ำมัน กล้องเป่าไฟ เครื่องรีด กระดานทนไฟ แกบทองเหลือง เครื่องตีเงา เป็นต้น ๒. ขั้นเตรียมการ ๓.
ขั้นการผลิต และ ๔. ขั้นหลังการผลิต โดยในแต่ละขั้นตอนทางร้านจะมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับลูกมือช่างไว้อย่างชัดเจน
ข้อมูลช่างทำทองที่พานทองนี้เป็นกรรมวิธีการทำทองแบบโบราณและที่ร้านทองที่ยังคงอนุรักษ์สืบสานวิธีการรูปแบบเช่นนี้มีอยู่ไม่มากเช่นที่จังหวัดเพชรบุรีประการสำคัญการทำทองที่พานทองจะเน้นงานออกแบบเครื่องประดับและให้ความสำคัญกับต้นแบบความเป็นผลงานที่มีความงามเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้จะไม่ค่อยปรากฎกับร้านทำทองทั่ว ๆ ไป ประกอบกับช่างทำทองที่มีความรู้แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำเช่นที่ร้านรุ่งสีทอง (นายทำนอง รุ่งสีทอง) ก็มีไม่มากนัก หากไม่มีการเก็บรวบรวมองค์ความรู้ (ขั้นตอน กรรมวิธี กลวิธี) อย่างเป็นระบบพร้อมไปกับถอดรหัสองค์ความรู้และขั้นตอนการทำอย่างชัดแจ้งไว้ ต่อไปคงจะขาดผู้สืบทอดอย่างแน่นอน ในการนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติน่าที่จะให้ทุนการศึกษาวิจัยในเชิงลึกสำหรับช่างทำทองที่พานทองนี้เป็นการเฉพาะ

dsc00270is


“ช่างทำทอง” เป็นการประดิษฐ์เครื่องประดับของตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี มีนายทำนอง รุ่งสีทอง เป็นผู้รับด าเนินกิจการมาจากบรรพบุรุษอีกทอดหนึ่ง งานเครื่องประดับของที่นี่ มีลักษณะพิเศษตรงที่การออกแบบให้มีรูปทรงแปลกใหม่ เน้นความเป็นต้นแบบผลงานไม่ซ้ าแบบใคร และมีความงามเช่นเดียวกับผลงานศิลปะ การเน้นมูลค่าในตัวผลงานเครื่องประดับอยู่เสมอเช่นนี้ ได้มีผลให้ผลงานที่ผลิตออกมาจากร้านรุ่งสีทองนี้เป็นที่ยอมรับในฝีมือ รูปแบบ และความสวยงามมาโดยตลอด จนมีลูกค้าจากถิ่นต่าง ๆ ภายนอกจังหวัดชลบุรีได้เดินทางมาที่อำเภอพานทองเพื่อสั่งทำเครื่องประดับอยู่มิได้ขาด
การทำทองรูปพรรณของนายทำนอง รุ่งสีทอง เป็นการทำทองตามกรรมวิธีโบราณที่มีความประณีต มีการออกแบบลวดลายไม่ซ้ าแบบใคร และหาตัวจับยากในอำเภอพานทอง ซึ่งนายทองได้รับการถ่ายทอดฝีมือการทำทองมาจากบิดา-มารดาตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี และก็ได้สืบสานกรรมวิธีแบบดั้งเดิมมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตทองรูปพรรณ รวมถึงขั้นตอนในขบวนการผลิตซึ่งจะได้รับความพิถีพิถันเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนจนผลงานสำเร็จสมบูรณ์ และมีลักษณะพิเศษของชิ้นงานที่ทำ คือ ลวดลายโบราณเช่น ฝักแค ลูกคล้อง กล้ามกุ้ง ปะวะหลั่ม และประคำสร้อยเป็นลวดลายที่สืบทอดมาจากรุ่นก่อน ๆ


ความสำคัญของช่างทำทองที่อำเภอพานทองหากพิจารณาในเชิงคุณค่าแล้วก็อาจกล่าวได้ว่า มีบริบทที่เกี่ยวข้องกับคำสำคัญมีทั้งด้าน “คุณค่า” และ “มูลค่า” พร้อมกันไปคือ มีคุณค่าในทางสุนทรียะ ภูมิหลัง รวมถึงจิตใจที่แฝงอยู่ในกระบวนการผลิตของช่างและตัวผลงานเอง และมีมูลค่าในตัววัตถุดิบ (ทอง) ที่นำมาใช้ในการทำเครื่องประดับแต่ละชิ้น เช่น ปริมาณมากน้อย (น้ำหนัก) ของทองย่อมมีราคาสูงต่ าขึ้นลงไปตามจ านวนของทองเป็นต้น ประการสำคัญที่เป็นปัจจัยประกอบไปกับการทำทองที่เป็นหัวใจสำคัญก็คือ ประโยชน์ใช้สอยของชิ้นงานที่ช่างได้บรรจงออกแบบให้สามารถใช้งานได้ตามคุณลักษณะ เช่นใช้สวมใส่ ใช้ห้อย ใช้ติด ฯลฯ ดังนั้นผลงานการทำทองในประเด็นข้างต้น จึงเป็นชิ้นงานที่มีคุณค่าทั้งความงามและประโยชน์ใช้สอยควบคู่กันไป




“ช่างทำทอง” ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เป็นช่างทำทองรูปพรรณแบบโบราณที่มีความประณีตและสวยงาม ตามภูมิหลังงานช่างฝีมือที่ได้รับการถ่ายทอดฝีมือการทำทองมาจากบิดา-มารดา ตอนนั้นนายทำนอง รุ่งสีทอง มีอายุเพียง ๑๓ ปี (ปัจจุบันอายุ ๕๙ ปี) หลังจากเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ แล้ว จึงได้เริ่มฝึกหัดการทำทองรูปพรรณเพราะทางบ้านประกอบอาชีพทำทองขายอยู่แล้ว ในระยะแรกจะทำกันเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น ลูก ๆ ทุกคนจะเรียนรู้วิชาทำทองและทำสืบทอดเป็นอาชีพตลอดมาเป็นเวลากว่า ๕๐ ปี จนงานช่างทำทองของทางร้าน “รุ่งสีทอง” ได้มีการพัฒนาลวดลายและฝีมือการประดิษฐ์จนเป็นที่นิยมของลูกค้าทั้งภายในและภายนอกจังหวัดชลบุรี และยังได้รับรางวัลต่าง ๆ อีกมากมายจากหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนเป็นจ านวนมาก
การทำทองที่พานทองนั้นมีนายทำนอง รุ่งสีทอง เป็นผู้ด าเนินการและมีลูกมือช่างเป็นผู้ช่วยอีก ๓-๔ คน มีการแบ่งหน้าที่ไปตามความถนัดและความสามารถของช่างแต่ละคน โดยมีวิธีการทำ วิธีทำ (Knowhow) ดังต่อไปนี้


๑. เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตทองรูปพรรณ มีเครื่องมืออุปกรณ์ประกอบการทำทองหลายชนิดและแบบได้แก่ เบ้าหลอมทอง รางเททอง ปากคีบ แป้นดึงลวด คีมดึงลวด หีบลม ขวดน้ำมัน กล้องเป่าไฟ เครื่องรีด กระดานทนไฟ แกนทองเหลือง และเครื่องตีเงา
๒. ขั้นตอนกระบวนการผลิต
๒.๑ ขั้นเตรียมการ ทางร้านจะต้องเตรียมจ านวนทองคำตามน้ำหนักที่ต้องการ และแบ่งจ านวนทองคำตามสัดส่วนของน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ที่จะจัดทำ
๒.๒ ขั้นการผลิต อาจแบ่งเป็นขั้นตอนย่อยได้ดังนี้
๒.๒.๑ นำทองมาหลอมแล้วนำไปดึงลวดตามอัตราส่วนของลวดลายต่าง ๆ
๒.๒.๒ นำมาพันแกนหรือดัดให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อใช้ร้อยสร้อยหรือประกอบเป็นลวดลายต่าง ๆ
๒.๒.๓ นำมาประกอบกันโดยใช้น้ำประสานทองเป็นวัสดุประสาน
๒.๒.๔ ทำหัวจรวดแล้วติดลวดลายในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงตีตะขอหรือทำหัวเสียบ
๒.๓ ขั้นหลังการผลิต อาจแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
๒.๓.๑ ต้มน้ำกรดเพื่อทำความสะอาดและล้างน้ำกรดให้สะอาด
๒.๓.๒ นำไปขัดเงาในเครื่องตีเงา
๒.๓.๓ นำไปล้างน้ำกรดเพื่อทำความสะอาด ส่วนระยะเวลาในการผลิตจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของชิ้นงาน โดยมีเวลาการทำประมาณ ๓–๒๐ วัน ตามแต่ลวดลายที่สั่งทำ
ปัจจุบันนายทำนอง รุ่งสีทอง เปิดร้านทำทองรูปพรรณอยู่ที่ ๔๐/๔ หมู่ ๘ ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี โทรศัพท์ ๐๓๘–๔๕๑๒๖๗



ภูมิปัญญาเชิงช่างงานทำทองที่อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ที่ยังด ารงคงอยู่ในตัวลวดลายโบราณได้แก่ ลวดลายฝักแค ลูกคล้อง กล้ามกุ้ง ปะวะหลั่ม และประคำสร้อย เป็นต้น ลักษณะรูปแบบลวดลายข้างต้น ถึงแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปแต่ความนิยมของลูกค้าในแบบอย่างลวดลายตามกรรมวิธีช่างไทยโบราณก็หาได้ลดความสนใจลงไปไม่ว่าจะเป็น ต่างหู สร้อยคอ ฯลฯ ในแต่ละวันจะมีลูกค้าจากถิ่นต่าง ๆ แวะเวียนเข้ามาสั่งทำอยู่มิได้ขาด โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีจะมีเทศกาลงานบุญ งานประเพณีต่าง ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง และบรรดาข้าราชการหญิง ภริยาหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน แม่ค้านักธุรกิจ ฯลฯ มักนิยมแต่งชุดไทย ผ้าไทย เพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว การมีเครื่องประดับตกแต่งด้วยทองรูปพรรณที่มีรูปแบบสอดคล้องกับการแต่งกายแบบไทยจึงเป็นที่นิยมในจังหวัดชลบุรี
กรณีงานช่างทองที่อำเภอพานทองหากพิจารณารูปแบบลวดลายบางลักษณะจะมีความคล้ายคลึงกับการทำทองที่จังหวัดเพชรบุรีอยู่มาก สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลในกรรมวิธีการทำและลวดลายอยู่บ้างไม่มากก็น้อย (ต้องศึกษาวิจัยเฉพาะด้านอีกครั้ง) ข้อมูลตามการศึกษาในชั้นต้นจัดได้ว่าเป็นข้อมูลที่ควรศึกษาในเชิงลึกเพื่อทำการวิจัยต่อไป เนื่องจากวิธีการทำทองแบบนี้จะหาช่างทองที่ทำตามแบบโบราณได้น้อย และขาดผู้สืบสานอย่างเป็นระบบและครบวงจรในทุก ๆ แบบทุก ๆ ชนิด จึงทำให้องค์ความรู้ต่าง ๆ อาจจะสูญหายได้ในที่สุด ในเรื่องภูมิช่างทำทองที่พานทองนี้น่าจะเป็นการศึกษาวิจัยที่ลงลึกต่อไป โดยให้แบ่งรูปแบบ ประเภทของการทำทองรูปพรรณรวมถึงวิธีการทำอย่างชัดเจน

http://xn--e3ca4anygl0jlp7c8h.blogspot.com/2012/10/blog-post_4888.html

ประโยชน์ทองคำ

ทองคำ นับเป็นอัญมณีล้ำค่าตลอดกาล มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีค่าและหายากมาสัมพันธ์กับสุขภาพกายและความงามเสมอ มีประวัติการนำทองคำบริสุทธิ์มาดัดแปลงใช้กับส่วนต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนใบหน้า แม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนทางวิทยาศาสตรา์ว่าทองคำจะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังได้อย่างไร แต่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดในหลายรูปแบบ ทั้งครีมทาผิว ครีมพอกหน้า  วันนี้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับทองคำ ว่ามีส่วนดีต่อสุขภาพทางกายและความสวยงามอย่างไร และมีผลข้างเคียงใดๆบ้างหรือไม่ 


ส่วนประกอบอาหารและเครื่องดื่ม
 จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ จะไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียง สหภาพยุโรปได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งสารอาหารได้ เนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีรสชาติ และไม่มีึุคุณค่าทางอาหาร จะถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ


 ทองคำกับการรักษาโรค
เป็นความเชื่อของคนยุคโบราณว่าทองคำมีศักยภาพของการสมานโรค ช่วยให้สุขภาพที่แย่ดีขึ้น ทางการแพทยืได้มีการทอดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ พบว่า มีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า ซึ่งได้มีการทอดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปี เชื่อกันว่า แร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวมช้ำได้ผล อย่างไรก็ตาม การฉีดแร่ทองคำในรูปแบบของเกลือหรือ โกลด์ซอลท์ จะก่อให้เกิดอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาดได้ และยังมีผลสะสมในตับและไตอีกด้วย ผู้ที่ใช้วิธีนี้จึงควรจะตรวเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ 

 ทองคำกับการลดเลือนริ้วรอย
 ทองคำสามาาถต้านอนุมูลอิสระได้และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสลของข้อกระดูกในโรคเก๊าได้ผลดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางค์เชื่อว่า "ด้วยกลไกเดียวกันนี้ โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระของผิวหนังและต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้" จึงมีการนำทองคำมาประยุต์ใช้ผสมในเครื่องสำอางค์ที่มีราคาแพงในรูปแบบต่างๆ  
  
ความเป็นพิษและอาการข้างเคียง
แม้ว่าทองคำบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษ หรือไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำถูกเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือหรือโกลด์ซอลท์ จะมีอันตรายต่อไต ต่อตับ และยับบั้งการสร้างเม็ดเลือดหากได้รับเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าแร่ทองคำมีผลทำให้เกิดอกาารแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะ อาการนี้จะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 

ขอบคุณที่มา กระปุกดอทคอม
เรียบเรียงโดย 
Stmstyle MT
บริษัทศัลยกรรมทัวร์เกาหลี บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม 
ตัวแทนหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุขเกาหลี
ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมที่ช่วยให้คำแนะนำและไขข้อข้องใจสำหรับผู้ที่จะทำศัลยกรรมได้อย่างชัดเจน

http://stmstyle.blogspot.com

ทองคำรูปพรรณ

  สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกง ทรุดตัวลง 240 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 11,063 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึง  ราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,191.65 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ปรับตัวลง 25.69 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/7.79 - ดอลลาร์ฮ่องกง
(ที่มา http://www.ryt9.com/s/iq03/903760)

                                  

                                                         ภาพที่  1  ทองรูปพรรณ
                                      (ที่มา  http://www.tkgolds.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=502088)
 

         ทองคำ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง  ทองรูปพรรณ ล้วนเป็นสินค้าที่มีราคาแพง และได้รับความนิยม ถือเป็นของมีค่า เป็นสมบัติอันล่ำค่าที่ได้รับความนิยมทุกยุคทุกสมัยนอกจากนี้ยังนำทองคำมาใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ เช่น งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  ทองคำ ที่นำมาใช้นี้ ถือว่าเป็นธาตุตัวหนึ่งในตารางธาตุสัญลักษณ์ธาตุคือ Au มีเลขอะตอมเท่ากับ  79  ซึ่งทองคำมีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างจากธาตุตัวอื่นที่น่าสนใจหลายอย่างค่ะ

                                      **  มาดูรายละเอียดเรื่องทองคำกันนะคะ  **
          
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับ  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์    ทุกระดับชั้น  และผู้สนใจทั่วไป

เรื่อง   ธาตุและสารประกอบในชีวิตประจำวัน          
          ตัวอย่าง ธาตุและสารประกอบ ที่พบในชีวิตประจำวัน เช่น  แคลเซียม ออกซิเจน  สังกะสี  ทองแดง ทองคำ  หรือน้ำ เป็นต้น  ธาตุที่ได้รับความนิยมและมีค่าทางท้องตลาดสูง คือ ทองคำ มีรายละเอียด ดังนี้
          ทองคำ         
          ทองคำ (gold) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (aurum) ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ทองคำใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

                                  

                                                             ภาพที่  2  ธาตุทองคำ                                   (ที่มา  http://www.bloggang.com/data/offway/picture/1232893080.jpg)
         คุณสมบัติของทองคำ
         มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำ เป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด
        มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด
ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร
        ทองคำบริสุทธิ์ไม่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ แต่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง
        คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับ
วงการเครื่องประดับ
                                                   
                                                  ภาพที่  3 สมบัติของทองคำ
                                                  (http://th.wikipedia.org/wiki/ทองคำ)
        ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก  ดังนี้
        1. งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
        2. คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปี
ก็ตาม
        3. หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
        4. นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน
       
        การเกิดของแร่ทองคำ
        แร่ทองคำแบ่งออกเป็น  2  แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้
        แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
        แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ
                              

                                                             ภาพที่  4  การขุดทองคำ                               (ที่มา http://www.bloggang.com/data/m/maistyle/picture/1262416195.jpg)
        แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย
                  แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส
                  แหล่งเขาสามสิบ จ.สระแก้ว
                  แหล่งชาตรี (เขาโป่ง) จ.พิจิตร - จ.เพชรบูรณ์
                  แหล่งดอยตุง (บ้านผาฮี้) จ.เชียงราย
                  แหล่งเขาพนมพา จ.พิจิตร
                 
        แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย       
                แหล่งบ้านป่าร่อน จ.ประจวบคีรีขันธ์
                แหล่งบ้านนาล้อม จ.ปราจีนบุรี
                แหล่งบ้านทุ่งฮั้ว จ.ลำปาง
                แหล่งในแม่น้ำโขง จ.เลย - จ.หนองคาย
                แหล่งบ้านผาช้างมูบ จ.พะเยา
       หน่วยน้ำหนักของทองคำ     
              กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
              ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
              โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
              ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
              บาท : ใช้ในประเทศไทย
              ชิ : ใช้ในประเทศเวียดนาม
             
       การแปลงน้ำหนักทองคำ
              ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย) [1]
              ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
              ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
              ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%
              ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 (ทรอย) ออนซ์
              ทองคำ 1 (ทรอย) ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม
             
        หมายเหตุ: ทรอยออนซ์ เป็นหน่วยชั่งของโลหะมีค่า แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า ออนซ์
              1 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1.097 ออนซ์ (ปกติ)
              12 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1 ทรอยปอน
              1 ทรอยปอน เท่ากับ 373 กรัม
             
      การลงทุนทองคำ
              การตั้งราคาทองในประเทศไทยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB
              
Goldspot คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์
              
USD-THB คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์
       การตั้งราคาทองในประเทศไทย มีสูตรคำนวณดังนี้
       
                สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 2) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729
        ประโยชน์อื่น
       
                ด้านอวกาศ  ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนา
0.000006 นิ้ว จะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลาย หรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้
              ด้านทันตกรรม  มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลตินัม
              ด้านอิเล็กทรอนิกส์  มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้น
                                  
                                                                  ภาพที่  5  สร้อยทองคำ                           (ที่มา  http://bbznet.pukpik.com/images/upload2/wasana_nang/XBMT20080329141643.jpg)


  *** ดังนั้นธาตุทองคำ Au  ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ถือว่าเป็นของมีค่า มีราคา เพราะคุณสมบัติเฉพาะ
                                        ที่พิเศษของธาตุทองคำนั้นเองค่ะ  ***
คำถาม VIP ชวนคิด

        1.  ทองคำคืออะไร
        2.  ธาตุทองคำมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร
        3.  ทองคำจัดเป็นโลหะหรือไม่
        4.  ทองคำถือเป็นธาตุกลุ่มใด
        5.  ทองคำแตกต่างจากโลหะชนิดอื่นอย่างไร
       
กิจกรรมเสนอแนะ
        1.ให้นักเรียนศึกษาสมบัติที่พิเศษของทองคำที่แตกต่างจากธาตุตัวอื่น
        2.ให้นักเรียนเสนอความคิดเห็นว่าจะทดสอบอย่างไรว่าทองคำเป็นโลหะ
        3.ให้นักเรียนลองเปรียบเทียบราคาทองคำในท้องตลาดว่าแตกต่างจากสินค้าอื่นอย่างไร
  
การบูรณาการ
        1. ให้นักเรียนสำรวจราคาทองคำในท้องตลาดและนำข้อมูลมาทำสถิติราคาสูงที่สุดเท่าใด
        2. ให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับเรื่องทองคำ
        3. ให้นักเรียนเสนอวิธีการทดสอบสมบัติของโลหะ และทองคำ

อนาคตตลาดทองคำ

อนาคตตลาดทองคำหลังเออีซี

ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ที่หลายคนหลายฝ่ายต่างให้ความสนใจเพราะจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม แม้ว่าในหลายอุตสาหกรรมไทยจะเสียเปรียบ เพราะมีต้นทุนการผลิตที่แพงและผู้ประกอบการอาจไม่มีความพร้อม แต่ก็มีอีกหลายอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบ เพราะมีความเป็นสากลจนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก
โดยเรื่องนี้ “กมลธัญ พรไพศาลวิจิตร” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกในรายการ “เศรษฐกิจติดจอ” ทางเดลินิวส์ทีวีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ตลาดทองคำของไทยในปัจจุบันถือเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สถิติการนำเข้าทองคำปีที่ผ่านมา ไทยนำเข้าทองคำสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากจีน และอินเดีย อีกทั้งเป็นผู้นำเข้าทองคำสูงสุดที่ 6 ของโลกอีกด้วย ขณะที่ด้านคุณภาพ ทองคำไทยยังได้รับการยอมรับในอาเซียนว่าเป็นทองคำที่มีคุณภาพสูงสุด เพราะมีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองคำถึง 96.5% หรือ 23 เค มากกว่าชาติอื่นในอาเซียนที่มีทองคำบริสุทธิ์เพียง 92% หรือเท่ากับทอง 21 เค เท่านั้น
ดังนั้นในแง่ทั้งปริมาณและคุณภาพ ไทยจึงถือว่าโดดเด่นที่สุดในอาเซียน ขณะเดียวกันเมื่อมองไปถึงศักยภาพของผู้ค้าทองคำในไทย ยังมีความพร้อมในการแข่งขันกันมาก โดยปัจจุบันมีร้านขายทองทั่วประเทศมากกว่า 7,000 แห่ง และยังมีการรวมตัวเป็นสมาคมค้าทองคำที่เข้มแข็ง มีเครื่องมือกำหนดมาตรฐานการค้า คุณภาพทองคำ และการเป็นกระบอกเสียงเจรจากับภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าในภาพรวมแล้วไทยดูจะเข้มแข็งหรือมีความได้เปรียบ แต่การที่ไทยจะก้าวไปเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำของอาเซียนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการซื้อขายทองคำในประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างเป็นอิสระ ไม่ได้มีกลไกการควบคุมคุณภาพและราคาแน่ชัด ดังนั้นการรวมกลุ่มเป็นสมาคมขนาดใหญ่ รวมถึงการควบคุมมาตรฐานทองคำให้เป็นแบบเดียวกันทั้งภูมิภาคคงทำได้ยาก ที่สำคัญยังติดขัดในเรื่องกำแพงภาษีที่แต่ละประเทศตั้งภาษีนำเข้าทองคำไว้สูง และหลายประเทศไม่นิยมเก็บทองคำไว้เป็นสินทรัพย์
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำคือ...การพยายามหันไปผลักดันการส่งออกทองคำ ในรูปแบบของเครื่องประดับมากขึ้น เชื่อว่าจะมีโอกาสเติบโตมาก แต่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวรับมือกับการแข่งขันด้วย โดยเฉพาะการออกแบบดีไซน์ ให้มีความหลากหลายตรงกับความต้องการ รสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันมากขึ้น เพราะแม้ไทยมีจุดแข็งจากคุณภาพทองคำที่สูง แต่ก็มีราคาแพงจากต้นทุนค่าแรงสูงเช่นกัน!
ผู้ประกอบการไทยจึงควรใช้จังหวะการเปิดเออีซี ในการเสาะหาแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาช่วยผลิตทองคำเพิ่ม เพื่อลดต้นทุน และแก้ปัญหาแรงงานผลิตทองคำในไทยที่ขาดแคลน โดยเฉพาะแรงงานจากลาวที่มีวัฒนธรรม และฝีมือการผลิตลวดลายทองคำคล้ายคลึงกับไทย
แต่การที่จะออกไปขยายฐานการผลิตและเปิดสาขาค้าทองคำในประเทศเพื่อนบ้านหลังเออีซี ยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เช่น ประเทศพม่า แม้จะมีทรัพยากรเหมืองทองคำอยู่มาก แต่เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังมีไม่สูง ดังนั้นหากคิดเริ่มลงทุนในต่างแดน ควรหาพันธมิตรธุรกิจที่เป็นคนท้องถิ่นเข้าร่วม จะช่วยลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจต่างแดนได้
ส่วนแนวความคิดในการจัดตั้ง “ตลาดรองเพื่อการซื้อขายทองคำ” เหมือนในต่างประเทศ สำหรับใช้เป็นกลไกกำกับการซื้อขายทองให้เกิดประสิทธิภาพ ยังเชื่อว่าไม่น่าเกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะผู้ลงทุนต้องมีความเชี่ยวชาญสูง ดังนั้นสำหรับคนไทยจึงอาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร
ขณะที่ประเด็นเรื่องราคาทองคำหลังเปิดเออีซี มองว่าจะไม่มีผลให้ราคาทองคำในไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าความเป็นกลางสูง โดยปรับขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจแย่นักลงทุนก็หันมาซื้อทองคำเก็บไว้ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยความเสี่ยงน้อยสุด ย่อมทำให้ราคาทองคำในตลาดแพงขึ้นได้ ฉะนั้นราคาทองคำในประเทศไทย ยังจะอ้างอิงและคำนวณจากราคาทองคำในตลาดโลกเป็นหลัก
แต่สิ่งที่ระมัดระวังคืออาจมีทองคำคุณภาพต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอยู่ในตลาด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้ว จึงต้องระมัดระวังดูให้ดี เพราะทองคำจากเพื่อนบ้านแม้ราคาถูกกว่า แต่คุณภาพก็ด้อยกว่าไทยด้วย การเลือกซื้อที่ดี จึงควรเลือกซื้อตามร้านที่มีตัวตนจะปลอดภัยกว่า โดยวิธีดูเบื้องต้นสังเกตจากสีทองจะไม่เหลืองอร่ามเหมือนทองคำทั่วไป หรือสามารถไปตรวจสอบตามร้านค้าทอง ซึ่งจะพิสูจน์แยกแยะได้ชัดเจน...
ข้อมูลเหล่านี้... ถือเป็นทิศทางของทองคำในอนาคต หากใครต้องการหาข้อมูลเชิงลึก หรือต้องการติดตามสถานการณ์ ข้อมูล
แนวโน้มราคาทองคำ รวมถึงผลงานวิชาการก็สามารถคลิกไปดูได้ที่ http://business.utcc.ac.th/ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย.

ประวัติทองคำโลก

ประวัติศาสตร์ทองคำ


            ทองคำเป็นที่รู้จักกันในสังคมมนุษย์มาเป็นเวลาเกือบหกพันปีมาแล้ว คำว่า “Gold” นั้นมาจากคำภาษาอังกฤษ คือ “Geolo” ซึ่งแปลว่าเหลือง            ส่วนสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ของธาตุทองคำ “Au” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Aurum” แปลว่าทอง          ในยุคโบราณทองคำได้นำมาใช้เป็นเครื่องตกแต่งในพิธีกรรมทางศาสนา    หรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจ ความรุ่งเรือง       การค้นพบทองคำครั้งแรกสุด ดูเหมือนจะพบทางแถบเอเชียตะวันตก โดยเฉพาะในประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นประเทศที่มีสิ่งของเครื่องทองให้ปรากฏเห็นตั้งแต่ประมาณ 4,000 ปีก่อนศริสต์ศักราช ต่อมาได้มีการค้นพบอีกที่ประเทศมาเซโดเนีย อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย การขุดทองเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่มีการค้นพบทวีปอเมริกา                 นับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา   ทองคำยังคงสามารถใช้เป็นเงินตราที่มีค่าสูงสุด   และเป็นโลหะชนิดเดียวที่ได้รับการยอมรับในทุกหนทุกแห่ง           การใช้ทองคำเป็นเงินตรานั้นมีบ้าง   ในดินแดนที่มีความเจริญที่สุดในสมัยโบราณกาล        ทองคำได้ครองความเป็นเจ้าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินตรา( คือโลหะ ) มาจนถึงคริสตศตวรรษที่ 19 ได้มีการเอามาตรฐานทองคำเข้ามาใช้ในระบบเงินตราในหลายประเทศ นายทุนใหญ่ ๆ โดยรัฐบาลเป็นผู้หลอมทำและจำหน่ายเงินเหรียญทองคำ ทองคำจึงกลายมาเป็นพื้นฐานหลักของระบบเงินตราไป ได้มีการกำหนดมาตรฐานทองคำใช้กันเป็นครั้งแรกที่สุดในประเทศอังกฤษ แล้วค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปประเทศอื่น ๆ เมื่อทองคำและเงินหลั่งไหลเข้ามาในยุโรปตะวันตกภายหลังจากที่ได้มีการค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งใหญ่ ( หมายถึงการล่าอาณานิคม )ในศตวรรษที่ 15 และ 16      จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ตัณหาของมนุษย์ในการที่มุ่งครอบครองทองคำได้ผลักดันให้มนุษย์แสวงหาอาณานิคม ทำสงคราม และสร้างอารยธรรม
            ในตอนกลางศตวรรษที่ 19 ได้มีการค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนีย และในออสเตรเลีย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปตะวันตกและในอเมริกาเหนือ ทองคำช่วยดึงเอาประเทศต่าง ๆ เข้ามาร่วมกันก่อตัวเป็นตลาดโลกขึ้น ต่อมาในตอนปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีการค้นพบทองคำในแอฟริกาใต้ และนี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของสมัยใหม่ในประวัติศาสตร์
 
ประวัติทองคำในประเทศไทย
            ประเทศไทย เคยเป็นที่รู้จักและเรียกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่า “สุวรรณภูมิ” แปลว่าแผ่นดินทอง     การที่ประเทศไทยได้ชื่อนี้อาจเนื่องมาจากความเป็นจริงของธรรมชาติตามหลักฐานที่กรมทรัพยากรธรณีมีอยู่   ซึ่งล้วนแต่มีการร่อนหาทองคำกันมาแต่โบราณ      ประเทศไทยครั้งนั้นคงมีทองคำอุดมสมบูรณ์มาก   นักเผชิญโชคชาวภารตะผู้นำอารยะธรรมของชมพูทวีปมาสู่กัมพูชา ในโบราณกาลจึงพากันเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “สุวรรณภูมิ”       แผ่นดินที่เรียกว่าสุวรรณภูมินี้มีอาณาเขตครอบคลุมพม่า ไทย ตลอดจนแหลม มาลายู      สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงประทานอรรถาธิบายไว้ในคำอธิบายหนังสือพระราชพงศาวดาร เล่มที่หนึ่ง (พ.ศ.2457) ว่าทรงเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า   “สุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ตั้งแต่เมืองมอญ ตลอดลงมาถึงแหลมมาลายู หรือบางทีอาจตลอดไปจนถึงเมืองญวน   โดยในครั้งกระโน้น ดินแดงนี้อาจเรียกว่าสุวรรณภูมิทั้งหมด”
            ความผูกพันกันระหว่างโลหะทองคำกับคนไทยนั้น   มีมายาวนาน อาจย้อนไปถึงสมัยอาณาจักรเชียงแสนเพราะมีหลักฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำซึ่งมีศิลปะแบบเชียงแสน ปรากฎอยู่   จากนั้น เมื่อไทยได้รับระบบสมมติเทวราชของขอมมาให้เป็นสถาบันบริหารสูงสุดของประเทศ ทองคำจึงถูกนำมาใช้ในการทำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชูปโภคทั้งหลาย
 
           
ความมั่งคั่งในทองคำของไทยในอดีตอาจพิจารณาได้จากการเจริญสัมพันธไมตรีกับชาวต่างชาติ เช่น   พระราชสาสน์นั้นเป็นการเขียน (จาร) ลงบนแผ่นทองคำที่เรียกว่าพระสุพรรณบัฏ และเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ ที่ทำด้วยทองคำ เป็นต้น     นอกจากนี้เครื่องใช้และเครื่องประดับต่าง ๆ   ก็ยังนิยมใช้ทองคำด้วย    สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงถึงการมีทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก    ซึ่งเชื่อกันว่าที่มาของทองคำเหล่านี้ คือแหล่งทองที่เป็นเกล็ดปนอยู่ในทรายซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามลำธารของภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือ
 
ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช   ได้ส่งทองคำไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศสถึง 46 หีบ    และพระองค์ได้ให้เอกอัครราชทูตไทยที่ส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีในครั้งนั้นว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองแร่ทองคำจากฝรั่งเศสมาด้วย            แร่ทองคำที่มีการผลิตหรือร่อนแร่กันในสมัยนั้น คือ แร่ทองคำบ้านป่าร่อน อำเภอบางสะพาน   จังหวัดประจวบคีรีขันธ์          ซึ่งมีการค้นพบและทำเหมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2283   และมีหลักฐานว่าในปี      พ.ศ.2293 สามารถผลิตทองคำ ได้ทองคำหนัก 90 ชั่งเศษ หรือน้ำหนักประมาณ 109.5 กิโลกรัม 
            ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเครื่องทองคำที่ควรกล่าวถึง เป็นเครื่องประดับสำหรับเกียรติยศซึ่งปรากฏในหลักฐานเอกสารต้นตำนานตรานพรัตน์ฯ เมื่อพระมหากษัตริย์บรมราชาภิเษกเสด็จประทับพระที่นั่งภัทรบิฐพราหมณ์ย่อมถวายพระสังวาลย์นพรัตน์นั้นสวมทรงก่อน
 
จวบจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325 เป็นต้นมา ในรัชกาลที่ 4 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การขุดทองลดน้อยลงจนต้องหาซื้อนำเข้าจากต่างประเทศ การใช้ทองคำมีปรากฏในพระราชนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับการทำเงินตราสยามเป็นเหรียญเงิน และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้ทำเหรียญทองคำ ด้วยเช่นกัน
กระทั่งปี พ.ศ.2414   มีการค้นพบทองคำที่บ้านบ่อ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี และได้มีการทำเหมืองด้วยวิธีการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดินในปี พ.ศ.2416   โดยพระปรีชากลการเจ้าเมืองปราจีนบุรี   แต่ปิดดำเนินการในปี พ.ศ.2421 ต่อมาได้เปิดดำเนินการอีกครั้ง   ในช่วงปี พ.ศ.2449 – 2459 แต่ไม่มีข้อมูลของการผลิตแต่อย่างใด
จากนั้นจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวต่างประเทศได้เข้าติดต่อค้าขายและมีการเสาะหาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีชาวอิตาเลียน ได้ขอทำการขุดทองที่บางตะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อกลับไปก็ไปเผยแพร่ว่าประเทศไทยนั้นอุดมด้วยแร่ทองคำเนื้อดี จึงทำให้ชาวต่างชาติหลายประเทศได้เข้ามาขออนุญาตขุดหาแร่ทองคำมากขึ้น 
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   รัฐบาลได้ให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแก่บริษัทจากประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสหลายแห่ง เช่น   แหล่งโต๊ะโมะ จังหวัดนราธิวาส       แหล่งบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์   แหล่งกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น     แต่บริษัทต่างๆ เหล่านี้   ได้หยุดดำเนินการเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2   และได้มีบันทึกไว้ว่า บริษัท Societe des Mine d’Or de Litcho ของฝรั่งเศส   ได้ทำเหมืองแร่ทองคำที่แหล่งโต๊ะโมะ   จังหวัดนราธิวาส   ในระหว่างปี พ.ศ.2479 – 2483   ได้ทองคำหนักถึง 1,851.44 กิโลกรัม   ระหว่างปี พ.ศ.2493 – 2500   กรมโลหกิจ(กรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน) ได้ทำเหมืองทองคำที่บ้านบ่อ จังหวัดปราจีนบุรี   สามารถผลิตทองคำได้ถึง 54.67 กิโลกรัม  
แหล่งแร่ทองคำ
            โดยทั่วไปแล้วมักพบแร่ทองคำในหินอัคนีชนิดเบสมากกว่าชนิดกรด แต่ส่วนใหญ่จะพบว่าทองอยู่ในหินชั้น และในกระบวนการของหินชั้น พบว่าหินทรายจะมีปริมาณทองมากกว่าหินชนิดอื่น ๆ
            ส่วนในแหล่งแร่จะพบว่า แร่ทองจะอยู่กับแร่เงิน ทองแดง และโคบอลต์ ปริมาณที่พบทองในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ทอง 1 กรัมต่อหินหรือดิน 300 เมตริกตัน ส่วนในน้ำทะเลจะมีปริมาณทอง 1 กรัมต่อน้ำทะเล 20,000-90,000 ตัน ซึ่งการสกัดเอาแร่ทองคำออกมาแล้ว ไม่คุ้มต่อการลงทุน กล่าวคือจะมีต้นทุนสูงมาก
การเกิดของแร่ทองคำ
            การเกิดของแร่ทองคำนั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบตามลักษณะที่พบในธรรมชาติ ดังนี้
1.แบบปฐมภูมิ   คือแหล่งแร่ที่เกิดจากกระบวนการทองธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่าง ๆ   เช่น   หินอัคนี หินชั้น และหินแปร   พบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีส่วนน้อยที่จะมีขนาดโตพอที่จะเห็นได้ชัดเจน แหล่งแร่ทองคำแบบนี้จะมีคุณค่าในเชิงพาณิชย์   ก็ต่อเมื่อมีทองคำมากกว่า 3 กรัมในเนื้อหินหนัก 1 ตัน   หรือมีทองคำหนัก 1 บาท(15.2 กรัม)   ในเนื้อหินหนักประมาณ 5 ตัน (ประมาณ 2 ลูกบาศก์เมตร)
 
2.แบบปฐมทุติยภูมิ   หรือแหล่งลานแร่   คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อนผุพัง แล้วสะสมตัวในที่เดิมหรือถูกน้ำชะล้างพาไปสะสมตัวในที่ใหม่   ในบริเวณต่าง ๆ    ที่เหมาะสม   เช่น เชิงเขา ลำห้วย หรือ ในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ
  
แหล่งแร่ทองคำที่พบในต่างประเทศ
            เมื่อ พ.ศ. 2396 สหรัฐอเมริกาได้มีการค้นพบทองครั้งใหญ่ ผลิตทองได้มากมายจนทำให้เป็นผู้นำการผลิตทอง ถึง 50 ปี ส่วนในออสเตรเลียก็เช่นเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา คือมีการค้นพบทองมากมาย จึงทำให้ตลาดของสหรัฐอเมริกาดูตกต่ำลง แต่ช่วงเวลาไม่นานจำนวนทองที่ออสเตรเลียก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การค้นพบทองครั้งใหญ่ ก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา ทำให้สหรัฐอเมริกาในตลาดโลกมีความกระเตื้องขึ้นหลังจากที่ตกต่ำไป หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2439 มีการตื่นทองครั้งใหญ่ที่แคนาดาซึ่งผลิตทองได้เกินกว่า 15 ล้านเอานซ์ต่อปี และในปี พ.ศ. 2458 สุงสุดเกือบ 23 ล้านเอานซ์ต่อปี นับตั้งปี พ.ศ. 2448 ประเทศแอฟริกา เป็นอันดับหนึ่งในการผลิตทอง รองลงมาคือประเทศ สหรัฐอเมริกา ประมาณ 26 ปี ต่อมา ผลผลิตทองของสหรัฐอเมริกาจึงตกเป็นรองประเทศรัสเซียและแคนาดา
            ได้มีการประเมินปริมาณของการขุดทองทั่วโลก นับจากเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ ได้ทั้งหมด 3 พันล้านเอานซ์ เป็นข้อมูลที่ประเมินไว้ก่อนปี พ.ศ. 2515            
 
            แหล่งแร่ทองคำในประเทศไทย
          เมื่อประมาณ 60-70 ปีมาแล้ว แหล่งแร่ทองคำที่สำคัญที่สุด คือแหล่งแร่ที่ป่าร้อนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งชาวบ้านที่นี่ทำการหาทองโดยวิธีการร่อน     เป็นเวลาหลายปีจนปริมาณลดลง แต่ก็ยังมีเหลือพบบ้าง
          กรมทรัพยากรธรณี สำรวจพบแร่ทองคำกระจายอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด     ยกเว้นพื้นที่ส่วนที่เป็นที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   และพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง    พื้นที่ที่มีศักยภาพทางแร่สูงมีอยู่ 2 แนวคือ แนวแรก พาดผ่านจังหวัดเลย หนองคาย เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี และจังหวัดระยอง   ส่วนแนวที่ 2 พาดผ่านจังหวัดเชียงราย แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย และจังหวัดตาก   ส่วนพื้นที่อื่นๆ   พบทองคำกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เช่น บริเวณบ้านป่าร่อน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์   แหล่งโต๊ะโมะ อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส และ อำเภอทองผาภูมิ   จังหวัดกาญจนบุรี
          บริเวณที่สำรวจพบว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางแร่ทองคำสูง ในปัจจุบันมีด้วยกัน 9 บริเวณ ดังนี้
          1.บริเวณพื้นที่ในเขตตอนเหนือของจังหวัดอุดรธานี     อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย   อำเภอเมือง อำเภอเชียงคาน และอำเภอปากชม จังหวัดเลย
          2.บริเวณพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอสระแก้ว และอำเภอวัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี
          3.บริเวณพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย   อำเภอสบปราบ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง   และอำเภอวังชิ้น อำเภอลอง จังหวัดแพร่
          4.บริเวณพื้นที่อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ขึ้นไปทางเหนือผ่านอำเภอเมือง อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
          5.บริเวณพื้นที่อำเภอสนามชัยเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงไปถึงอำเภอบ้านบึง กิ่งอำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี    จรดชายฝั่งทะเลที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง   และอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
          6.บริเวณพื้นที่อำเภอทับสะแก อำเภอบางสะพาน กิ่งอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถึงอำเภอปะทิว และอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร
          7.บริเวณกิ่งอำเภอสุคิริน   อำเภอระแงะ และอำเภอแว้ง   จังหวัดนราธิวาส   และบริเวณทางตอนใต้ของจังหวัดยะลา
          8.บริเวณพื้นที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอไทรโยค   ถึงอำเภอสวนผึ้งและอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
          9.บริเวณพื้นที่อำเภอเมือง   อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์   อำเภอโคกสำโรง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี และอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์
          ประวัติการผลิตทองคำ
            ในช่วง 6000 ปีที่ผ่านมา  คาดว่ามีการขุดทองคำขึ้นมาใช้แล้วมากกว่า 125,000 ตัน โดยประวัติการขุดค้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ยุด คือ ยุคก่อนการตื่นทอง และยุคหลังการตื่นทอง คาดว่ากว่า 90% ของทองคำที่เคยถูกขุดขึ้นนั้นถูกขุดขึ้นมาหลังปี ค.ศ. 1848 หรือตั้งแต่ยุคตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย
 
ยุคแรก (ก่อนปี ค.ศ. 1848)
            ในช่วง 2000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์ขุดทองคำได้ไม่ถึงปีละ 1 ตัน จากบริเวณที่เป็นประเทศอียิปต์ ซูดาน และซาอุดิอาราเบียในปัจจุบัน
            ในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง คาดว่ามีการขุดทองคำได้ 5-10 ตันจาก สเปน โปรตุเกส และแอฟริกา 
            ช่วงกลางศตวรรษที่ 15 มีการผลิตทองคำ 5-8 ตันต่อปีจากแถบแอฟริกาตะวันตก ซึ่ง คือบริเวณประเทศกานาในปัจจุบัน
            ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มีการผลิตทองคำรวม 10-12 ตัน จากแอฟริกาตะวันตกและ อเมริกาใต้
            ในปี ค.ศ. 1847 หนึ่งปีก่อนเกิดการตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย รัสเซียผลิตทองคำได้ 30-35 ตัน คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ผลิตได้ทั้งโลกที่มีประมาณ 75 ตัน
 
ยุคที่สอง (หลังปี ค.ศ. 1848)
            หลังปี ค.ศ. 1848 นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลังการค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนียและในออสเตรเลีย โดยในแต่ละแห่งสามารถขุดพบทองคำในแต่ละปีเกือบ 100 ตัน 
            หลังจากได้มีการค้นพบแหล่งทองคำในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีผลผลิตสูงที่สุดมาต่อเนื่องยาวนานนับจากช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงปัจจุบัน
            ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีการขุดทองคำได้เฉลี่ยปีละ 400 ตัน
            ในช่วงปี 1990 โลกมีการขุดค้นได้ทองคำเฉลี่ย 1744 ตันต่อปี ทั้งนี้ เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยทำให้การผลิตเดิมที่ไม่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจมีความเป็นไปได้ขึ้น  แต่ราคาทองคำที่ตกต่ำลงทำให้ผลผลิตทองคำไม่เพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด